ริชฟิลด์ เอ. คูดัล
การตระหนักถึงคุณค่าที่แท้จริงเกี่ยวกับพระวาทะก่อนมาบังเกิด ซึ่งเป็นพระลักษณะเฉพาะขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านันจ้าเป็นต้องมีความเข้าใจเป็นอย่างดีเกี่ยวกับหลักปรัชญาสมัยโบราณที่ได้รับการพัฒนา หลักปรัชญาเหล่านี อยู่ในยุคที่มีความพยายามใช้อิทธิพลทางวัฒนธรรมซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปมากที่สุด และอิทธิพลเหล่านั นได้ยืนหยัดในการเรียนรู้มาอย่างต่อเนื่องตลอดหลายชั่วอายุคน
“λόγος /พระวาทะ” เป็นแนวคิดทางปรัชญาที่ส้าคัญแนวคิดหนึ่งในโลกสมัยโบราณ เฮราไคลตุส (Heraclitus) (ประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล) นักคิดชาวกรีกคนหนึ่งในยุคแรกเริ่มที่ได้แนะน้าพระวาทะว่า เป็นพลังอ้านาจที่มาจากสวรรค์ซึ่งแทรกซึมไปยังสารพัดสิ่งต่างๆ เป็นพลังอ้านาจที่มีเสถียรภาพในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อนักซาโกรัส (Anaxagoras) (ประมาณ 500 ปีก่อนคริสตกาล) เข้าใจว่าพลังอ้านาจที่มาจากสวรรค์นี เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากเกินกว่าที่จะมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง และถือว่าเป็นการท้าหน้าที่เป็นผู้กลางให้กับพลังอ้านาจที่มาจากสวรรค์ เพลโต้ (Plato) (ประมาณ 400 ปีก่อนคริสตกาล) เชื่อว่าพระวาทะเป็นเทพเจ้าแห่งพลังอ้านาจและสรรพสิ่งในธรรมชาติซึ่งถือว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพลัง
อ้านาจและธรรมชาติ ดังนั น ธรรมชาติซึ่งเป็นจักรวาลที่ได้รับการจัดระเบียบไว้อย่างดีได้ถูกถ่ายทอดออกมาและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเหตุผล ลัทธิตัดกิเลส (Stoics) สะท้อนภาพที่ไม่ใช่พระวาทะเพียงหนึ่งเดียว แต่เป็น (λόγοι σπερματικοί/logoi spermatekoi) ความหลากหลายของพระวาทะที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อพัฒนาการในภายหน้า และเป็นพลังอ้านาจที่ไม่มีตัวตน โดยรับผิดชอบในการท้าให้วัฏจักรสรรค์สร้างทางธรรมชาติเกิดขึ นและด้าเนินไปอย่างต่อเนื่อง พระวาทะของลัทธิตัดกิเลสหรือ λόγοι ธ้ารงไว้ซึ่งโครงสร้างในจักรวาลซึ่งมนุษย์สามารถจัดระเบียบชีวิตของเขาได้
ฟิโล (Philo) (ประมาณปี ค.ศ. 10) นักปรัชญาชาวยิวในสมัยอเล็กซานเดรีย ได้เปรียบเทียบพระวาทะ โดยการรวมหลักปรัชญากรีกและยิวฝ่ายโลกเข้าด้วยกันกับพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ฟิโล ได้จัดพระวาทะไว้เป็นประเภทแนวคิด ส้าหรับเขา พระวาทะไม่ได้มีบุคลิกภาพที่ชัดเจน แต่ปฏิบัติหน้าที่เป็นทูตของพระเจ้า (πρεσβύτες/presbeutes) เป็นทนายแก้ต่างของมนุษย์ (παράκλητος/paracletos) และเป็นมหาปุโรหิต (ἀρχιερέως/archereus)
ถึงแม้ว่า พระวาทะของฟิโลจะมีการเปรียบเทียบที่น่าสนใจกับพระวาทะของอัครสาวกยอห์น (เปรียบเทียบกับยอห์น 1:1) การเปรียบเทียบมีความแตกต่างกันในเชิงวิเคราะห์ เมื่อเปรียบเทียบกับข้อเท็จจริงของพระคริสต์ตามพระกิตติคุณยอห์นว่าได้ทรงด้ารงอยู่ก่อนการทรงสร้างโลก พระวาทะของฟิโลไม่มีคุณลักษณะของ “การทรงด้ารงอยู่ก่อน” พระวาทะของฟิโลไม่สามารถน้ามากล่าวถึงในความสัมพันธ์ส่วนตัว และไม่สามารถน้ามากล่าวถึงว่าเป็นการมาบังเกิด – เป็นแนวความคิดเห็นที่แตกต่างกับวิธีการคิดของกรีก ในขณะที่พระวาทะของฟิโลมีความเป็นนิรันดร์กาล แต่กลับไม่ใช่ “ความสว่างและชีวิต” อย่างที่อัครสาวกยอห์นได้กล่าวไว้ ถึงแม้ว่า พระวาทะของฟิโลมีความสามารถในการเป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้าผู้สูงสุดและโลก แต่ก็ไม่เคยถูกท้าให้มีตัวตนขึ นมาเหมือนพระวาทะแห่งพระกิตติคุณของยอห์น ผู้ทรงเป็นองค์พระเยซูคริสต์เจ้า
หนังสือปัญญาของซาโลมอนซึ่งเชื่อถือไม่ได้ (The apocryphal Wisdom of Solomon) [เป็นหนังสือพระธรรมที่ไม่ได้รับความเชื่อถือจึงไม่ได้รวมไว้ในพระคัมภีร์ – ผู้แปล] (เปรียบเทียบกับ 18:15-16) กล่าวถึงพระวาทะว่าเป็นถ้อยค้าที่มีพลังอ้านาจสูงสุดที่กระโจนลงมาจากสวรรค์อย่างรวดเร็ว ได้รับการอธิบายว่าเป็นนักรบ พระวาทะนี ถูกสมมุติให้เป็นบุคคล
แต่ไม่ได้ถูกท้าให้มีตัวตน ในขณะที่พระวาทะซึ่งเชื่อถือไม่ได้นั นได้รับการกล่าวถึงในความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่ไม่สามารถน้ามากล่าวถึงว่าเป็นบุคคลที่มีตัวตน
แนวคิดผู้น้าศาสนายิวเกี่ยวกับพระวาทะคือ โตราห์ (พระคัมภีร์ของยิว) โตราห์ได้รับการพิจารณาว่าเป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้าและโลก – ในการเปรียบเทียบพระวาทะของพระกิตติคุณยอห์น นิมิตผู้น้าศาสนาสะท้อนภาพพระวาทะของยอห์นเป็นพระผู้สร้าง โตราห์ถือว่าฤทธิ์อ้านาจในการสร้างสรรค์มาจากพระวจนะของพระเจ้า โตราห์ได้แสดงให้เห็นถึงพระวาทะที่เชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวในความสัมพันธ์กับการพิจารณาเกี่ยวกับหลักจริยธรรมและเกี่ยวกับวาระสุดท้ายซึ่งคล้ายกับหลักค้าสอนของยอห์น อย่างไรก็ตาม มีความคล้ายคลึงกันระหว่างโตราห์และตอนท้ายพระวาทะของยอห์น
ระหว่างช่วงเวลาที่อยู่ระหว่างภาคพันธสัญญา (ศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล) มีการน้าพระวาทะมาพิสูจน์เอกลักษณ์กับพระปัญญา พระวาทะแท้ พระปัญญาซึ่งโยบกล่าวถึง เป็นตอนแรกเริ่มการสื่อสารกับมนุษย์:
แต่จะพบพระปัญญาที่ไหน และที่ของความเข้าใจอยู่ที่ไหน มนุษย์ไม่รู้จักค่าของพระปัญญา และในแผ่นดินของคนเป็นก็หาไม่พบ บาดาลพูดว่า ‘ที่ข้าไม่มี’ และทะเลกล่าวว่า ‘ไม่อยู่กับข้า’ จะเอาทองคาซื้อก็ไม่ได้ และจะชั่งเงินให้ตามราคาก็ไม่ได้ จะตีราคาเป็นทองคาโอฟีร์ก็ไม่ได้ หรือเป็นพลอยสีน้าข้าวประเสริฐหรือพลอยไพฑูรย์ก็ไม่ได้ จะเทียบเท่าทองคาและแก้วผลึกก็ไม่ได้ หรือจะแลกกับเครื่องทองคาเนื้อดีก็ไม่ได้ อย่าเอ่ยถึงหินปะการังและไข่มุกเลย ค่าของพระปัญญาสูงกว่ามุกดา บุษราคัมแห่งเมืองเอธิโอเปียก็เปรียบกับพระปัญญาไม่ได้ หรือจะตีราคาเป็นทองคาบริสุทธิ์ก็ไม่ได้ (โยบ 28:12-19)
พระธรรมสุภาษิตท้าให้พระปัญญานี มีลักษณะความเป็นบุคคล ผู้ซึ่งกล่าวถึงการทรงอยู่ด้วยที่การทรงสร้างโลก:
เมื่อพระองค์ทรงสถาปนาฟ้าสวรรค์ เราอยู่ที่นั่นแล้ว เมื่อพระองค์ทรงลากเส้นรอบวงบนพื้นมหาสมุทร เมื่อพระองค์ทรงสถาปนาฟ้าเบื้องบน เมื่อพระองค์ทรงกระทา
น้าพุของน้าบาดาลให้มั่นไว้ เมื่อพระองค์ทรงกาหนดเขตจากัดให้แก่ทะเล เพื่อว่าน้าจะไม่ละเมิดพระบัญชาของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงปักผังรากฐานของพิภพ เราอยู่ข้างพระองค์แล้ว เหมือนผู้ที่พระองค์ทรงเลี้ยงดู เราเป็นความปีติยินดีประจาวันของพระองค์ เปรมปรีดิ์อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์เสมอ (สุภาษิต 8:27-30)
ในพระกิตติคุณยอห์น พระวาทะได้รับการแนะน้าในแรกเริ่มนั นอย่างมีจุดประสงค์
ในเริ่มแรกนั้น พระวาทะทรงเป็นอยู่แล้ว และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า (ยอห์น 1:1)
ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับพระวาทะแท้จริงเป็นกุญแจส้าคัญที่ไขไปสู่เรื่องราวต่อมาขององค์พระเยซูคริสต์ โดยการเริ่มต้นกับแนวความคิดเห็นทางปรัชญาซึ่งคุ้นเคยกันอยู่แล้ว ยอห์นให้ผู้อ่านของเขามีส่วนร่วมและเสนอแนวความคิดเห็นเพิ่มเติมเข้าไปในการเปิดเผยใหม่ๆเกี่ยวกับองค์พระเยซูคริสต์ ยิ่งกว่านั น ยอห์น โมเสส และดาวิดยืนยันว่า พระวาทะแท้จริงคือพระผู้ทรงสร้างจักรวาล…
ในแรกเริ่มนั้น พระองค์นั้นทรงอยู่กับพระเจ้า พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา และในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระองค์ (ยอห์น 1:2-3)
ในเริ่มแรกนั้น พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และแผ่นดินโลกนั้นก็ปราศจากรูปร่าง และว่างเปล่าอยู่ และความมืดอยู่เหนือผิวของน้า และพระวิญญาณของพระเจ้าเคลื่อนไหวอยู่เหนือผิวของน้านั้น และพระเจ้าตรัสว่า “จงให้มีความสว่าง” และความสว่างก็เกิดขึ้น (ปฐมกาล 1:1-3)
โดยพระวจนะของพระเยโฮวาห์ฟ้าสวรรค์ก็ถูกสร้างขึ้นมา กับบริวารทั้งปวงด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์ พระองค์ทรงรวบรวมน้าทะเลไว้ด้วยกันเป็นกองใหญ่ และทรงเก็บที่ลึกไว้ในคลัง (สดุดี 33:6-7)
ในที่นี ดาวิดและอิสยาห์อธิบายพระวาทะเป็นส่วนตัวและได้มอบถวายไว้กับสิทธิอ้านาจของพระเจ้า ฤทธานุภาพในการค้าจุน และการเอาพระทัยใส่ในการจัดเตรียมจากพระเจ้า
พระองค์ทรงใช้พระบัญญัติของพระองค์ออกไปยังแผ่นดินโลก พระวจนะของพระองค์ไปเร็ว พระองค์ประทานหิมะอย่างปุยขนแกะ พระองค์ทรงหว่านน้าค้างแข็งขาวอย่างขี้เถ้า พระองค์ทรงโยนน้าแข็งของพระองค์เป็นก้อนๆ ใครจะทนทานความหนาวของพระองค์ได้ พระองค์ทรงใช้พระวจนะของพระองค์ออกไป และละลายมันเสีย พระองค์ทรงให้ลมพัดและน้าก็ไหล (สดุดี 147:15-18)
ไฟกับลูกเห็บ หิมะกับหมอก ลมพายุ กระทาตามพระวจนะของพระองค์ (สดุดี 148:8)
คาของเราซึ่งออกไปจากปากของเราจะไม่กลับมาสู่เราเปล่า แต่จะสัมฤทธิ์ผลซึ่งเรามุ่งหมายไว้ และให้สิ่งซึ่งเราใช้ไปทานั้นจาเริญขึ้นฉันนั้น (อิสยาห์ 55:11)
พระวาทะซึ่งท้าให้เห็นเป็นบุคคลมีตัวตนนี ทรงด้าเนินการพิพากษา
ฉะนี้ เราจึงให้ผู้พยากรณ์แกะสลักเขา เราประหารเขาเสียด้วยคาพูดจากปากของเรา การพิพากษาต่อเจ้าก็ออกไปอย่างแสงสว่าง (โฮเซยา 6:5)
พระวาทะเป็นตัวแทนของพระเจ้าที่ทรงฤทธานุภาพมาก ค้าตรัสของพระองค์เป็นการทรงเปิดเผยของพระเจ้า และผู้พยากรณ์เป็นกระบอกเสียงของพระองค์
แล้วข้าพระองค์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะไม่อ้างถึงพระองค์หรือกล่าวในพระนามของพระองค์อีก” แต่พระวจนะของพระองค์อยู่ในใจของข้าพระองค์เหมือนไฟไหม้ อัดอยู่ในกระดูกของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็อ่อนเปลี้ยที่ต้องอัดไว้ และข้าพระองค์ก็อัดไว้ไม่ไหว (เยเรมีย์ 20:9)
ฉะนี้แหละ เจ้า โอบุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย เราได้ตั้งเจ้าให้เป็นคนยามสาหรับวงศ์วานอิสราเอล ฉะนั้น เจ้าจงฟังถ้อยคาจากปากของเรา และจงกล่าวคาตักเตือนจากเราให้แก่เขา (เอเสเคียล 33:7)
พระวาทะเป็นข่าวประเสริฐของพระเจ้ามายังมนุษย์: “หนุ่มๆจะรักษาทางของตนให้บริสุทธิ์ได้อย่างไร โดยระแวดระวังตามพระวจนะของพระองค์” (สดุดี 119:9) พระวจนะได้รับการกล่าวไว้เป็นแนวทาง เป็นการเน้นย้าพระราชบัญญัติว่าเป็นการทรงเปิดเผยของพระเจ้า: “พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสาหรับเท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่มรรคาของข้าพระองค์” (119:105)
ชาวกรีกสันนิษฐานว่า พระวาทะของยอห์นกล่าวถึงหลักการที่มีเหตุผลเกี่ยวกับจักรวาลจะท้าให้การกล่าวยืนยันของยอห์นเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจ ที่หลักการจะมาให้เห็นเป็นทั งบุคคลที่มีตัวตนและมาบังเกิด การท้าให้เป็นบุคคลมีตัวตนและการมาบังเกิดของพระปัญญาจะท้าให้ชาวยิวเกิดความอัศจรรย์ใจด้วย ยอห์นแนะน้าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพระวาทะแท้ เป็นพระวาทะที่มาให้เห็นเป็นบุคคลที่มีตัวตน การแนะน้าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพระบุตรของพระเจ้านั นท้าให้พระองค์ทรงเป็นพระวาทะที่มีลักษณะเป็นบุคคล
อัครสาวกยอห์นซึ่งอยู่ภายใต้การทรงดลใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เลือกค้าและการจัดวางค้าอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อกล่าวถึงความจริงเกี่ยวกับองค์พระเยซูคริสต์ได้อย่างเหมาะสมชัดเจน การจัดวางวลี “ในแรกเริ่มนั้น” ไว้ข้างหน้าสุดของข้อพระคัมภีร์ในพระกิตติคุณของเขาเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงการทรงด้ารงอยู่ก่อนของพระวาทะผู้ทรงอยู่เหนือการทรงสร้างโลก และอยู่นอกกรอบเวลา ความว่างเปล่า และสสาร
“ในแรกเริ่มนั้น” -εν ἀρχῇ/en archee เขียนอยู่ในรูป dative ซึ่งรูป dative “εν,” ในภาษาอังกฤษแปลว่า “ใน” บ่งบอกให้รู้ว่า “แรกเริ่ม” ได้เริ่มต้นขึ นนั น พระวาทะด้ารงอยู่แล้ว
พระวาทะด้ารงอยู่ก่อนการทรงสร้างโลก และอยู่ที่นั่นเพื่อเป็นพยานถึงการทรงสร้างโลก พระวาทะด้ารงอยู่นอกเขตสสารที่ถูกท้าให้เกิดขึ นมีอยู่จริง พระวาทะมีอยู่แล้วในนิรันดร์กาล
ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่า “ด้วยมีเด็กคนหนึ่งเกิดมาเพื่อเรา…และจะเรียกนามของท่านว่า ผู้ที่มหัศจรรย์ ที่ปรึกษา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์…” (อิสยาห์ 9:6) วลี “พระบิดานิรันดร์” ได้รับการแปลอย่างเหมาะสมว่า “พระบิดาแห่งนิรันดร์กาล” หมายถึงอยู่เหนือ นอกขอบเขต และก่อนนิรันดร์กาล
ยิ่งกว่านั น ผู้เผยพระวจนะมีคาห์ ได้พยากรณ์ถึงการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ของชาวอิสราเอลว่าเป็นผู้ซึ่งมาจากอดีตนิรันดร์กาล “…จากเจ้าจะมีผู้หนึ่งออกมาเพื่อเรา เป็นผู้ที่จะปกครองในอิสราเอล ดั้งเดิมของท่านมาจากสมัยเก่า จากสมัยโบราณกาล…” (มีคาห์ 5:2)
พระคัมภีร์ส้าแดงพระวาทะเป็นองค์พระเยซูคริสต์เจ้า ผู้ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงด้ารงอยู่ด้วยพระองค์เองและทรงด้ารงอยู่ก่อน องค์พระเยซูเจ้าทรงยืนยันด้วยพระองค์เองถึงการทรงด้ารงอยู่ก่อนของพระองค์เมื่อพระองค์ทรงเผชิญหน้ากับศัตรูทางศาสนาของพระองค์โดยตรัสว่า
อับราฮัมบิดาของท่านชื่นชมยินดีที่จะได้เห็นวันของเรา และท่านก็ได้เห็นแล้ว และมความยินดี” พวกยิวก็ทูลพระองค์ว่า “ท่านอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี และท่านเคยเห็นอับราฮัมหรือ” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงอันเที่ยงแท้แก่ท่านว่า ก่อนอับราฮัมบังเกิดมานั้นเราเป็น” (ยอห์น 8:56-58)
องค์พระเยซูคริสต์เจ้าก้าลังยืนยันว่าพระองค์ทรงด้ารงอยู่ก่อนเวลานั นโดยการประกาศว่า “…ก่อนอับราฮัมบังเกิดมานั้น เราเป็น”
ยอห์นได้ประกาศว่า “…และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า” (καὶ ὁ Λόγος ἦν πρὸς τὸν Θεόν) ค้ากล่าวนี ใช้ค้าคุณศัพท์ “กับ” (πρὸς/pros) ซึ่งหมายถึง “โดย” “ที่” หรือ “ใกล้”1 ด้วยพระวาทะไม่เพียงด้ารงอยู่ก่อนเวลา ความว่างเปล่า และการทรงสร้างโลกเท่านั น แต่
[1 ( มธ.13:56; มก.6:3, 9:19a, 14:49; ลก.9:41; ยน.1:1f; 1ธส.3:4; 2ธส.2:5; 3:10; 1ยน.1:2-4)]
พระองค์ทรงด้ารงอยู่ในการสามัคคีธรรมใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้า พระองค์ทรงด้ารงอยู่ “โดย” พระเจ้า หรือ “ที่” เบืองพระพักตร์ของพระเจ้า “ใกล้” พระเจ้า และ “พร้อมกับ” พระเจ้า
“พระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า” แฝงความหมายของความเป็นพระเจ้าและพระลักษณะตามธรรมชาติของพระเจ้าของพระวาทะ โดยปราศจากความสับสนกับลักษณะพิเศษที่เด่นชัดระหว่างพระบิดาและพระบุตร พระบิดาและพระวาทะ (พระบุตร) ทรงมีความเท่าเทียมกันและมีความเป็นนิรันดร์ร่วมกันในสง่าราศี เกียรติยศ ฤทธานุภาพ พระชนม์ชีพ คุณลักษณะและพระลักษณะที่ส้าคัญ ถึงกระนั นก็ยังทรงมีพระบุคลิกภาพที่โดดเด่น
ยอห์นเขียนไว้ด้วยว่า “…และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” (καὶ θεὸς ἦν ὁ λόγος) ซึ่งเป็นการประกาศถึงความเป็นพระเจ้าขององค์พระเยซูเจ้า การแปลค้าต่อค้าของประโยคภาษากรีกคือ “และพระเจ้าทรงเป็นพระวาทะ” นี่เป็นครังที่สองที่มีการน้าค้า “พระเจ้า” มาใช้ในข้อพระคัมภีร์ข้อเดียวกัน “พระเจ้า” เป็นค้าที่สองใน nominative case ส่วน nominative แรกคือ “พระวาทะ” เมื่อใดก็ตามที่มีสอง nominative ปรากฏอยู่ในประโยคภาษากรีก nominative แรกเป็นประธาน และอีกหนึ่ง nominative เป็นภาคแสดงของประโยค ภาคแสดงของประโยคกล่าวถึงหรือเล่าถึงบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ nominative แรก
“พระวาทะ” ซึ่งเป็น nominative ที่เป็นประธานของประโยค น้าหน้าด้วย “the” ด้วยเหตุนี ค้าที่สอง “พระเจ้า” ไม่มี“the” น้าหน้า จึงเป็น nominative ที่เป็นภาคแสดงของประโยค “พระวาทะ” เป็นการกล่าวถึง “พระเจ้า” ซึ่งหมายความว่า พระวาทะ (Logos) อยู่ในแก่นแท้ของพระเจ้า นั่นคือทรงเป็นพระเจ้า
ยิ่งกว่านั น “พระเจ้า” และ “พระวาทะ” ถูกเชื่อมเข้าด้วยกันด้วยค้ากริยาเชื่อม “เป็น อยู่ คือ” (to be) ซึ่งสามารถแปลได้ว่า “ทรงเป็น” (was) “พระเจ้า” และ “พระวาทะ” กล่าวถึงแก่นแท้ (เอกลักษณ์) เดียวกัน ดังนั น องค์พระเยซูเจ้าจึงสามารถตรัสได้ว่า “เรากับพระบิดาของเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” (ยอห์น 10:30) ความหมายของค้าประกาศขององค์พระเยซูเจ้าจึงเป็นค้าประกาศที่ชัดแจ้งไม่มีข้อผิดพลาดและชาวยิวไม่เต็มใจที่จะเชื่อ พระองค์ทรงอ้างสิทธิ์ความเท่าเทียมกันกับพระเจ้าในพระลักษณะตามธรรมชาติและในพระลักษณะที่เป็แก่แท้ส้าคัญ
ยอห์นน้าเสนอพระวาทะ (Logos) ว่า “ทรงอยู่กับพระเจ้า” (ยอห์น 1:2) ในข้อพระคัมภีร์ข้อที่หนึ่ง ค้าที่มาก่อน “พระองค์” คือ “พระวาทะ” เป็นการกล่าวซ้าว่า พระวาทะ
(Logos) ทรงด้ารงอยู่ก่อนแล้ว “ในเริ่มแรก” นี อีกพระภาคหนึ่งที่เด่นชัดของแก่นแท้ของพระเจ้าได้ทรงด้ารงอยู่2
พระภาคที่โดดเด่นชัดเจนของแก่นแท้ของพระเจ้านี ไม่ได้ประกอบด้วยพระเจ้าสองพระองค์ การประกาศของยอห์นเป็นการบ่งบอกให้รู้ว่า พระภาคเหล่านี ทรงเป็นหนึ่งเดียวในพระลักษณะตามธรรมชาติ ในพระลักษณะที่ส้าคัญ และในคุณลักษณะ มีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั น3
ถัดมาในยอห์น 1:3 “พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา และในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระองค์” (ยอห์น 1:3-4) ยอห์นยืนยันถึงฤทธานุภาพในการทรงสร้างสรรพสิ่งทั งปวงของพระวาทะ พระวาทะทรงมีอ้านาจทุกอย่าง ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ชี แนะที่ทรงฤทธานุภาพมากส้าหรับจักรวาลเท่านั น แต่ทรงเป็นพระผู้สร้างที่มีฤทธานุภาพทุกอย่าง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงด้ารงอยู่ก่อน ผู้ทรงกระท้าให้สรรพสิ่งทั งปวงเกิดขึ นด้วยการทรงสร้างสิ่งต่างๆขึ นมาจากความว่างเปล่า
“พระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา…” ยอห์นกล่าวและเน้นย้าประเด็นของเขาโดยกล่าวซ้าอีกครั งด้วยการสลับต้าแหน่ง “…และในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระองค์” พระวาทะผู้ซึ่งยอห์นแนะน้า คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า บทเพลงสรรเสริญที่มีมาถึงชาวโคโลสีกล่าวไว้ว่า
พระองค์ทรงเป็นพระฉายของพระเจ้าผู้ซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ทรงเป็นบุตรหัวปีเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง เพราะว่าโดยพระองค์ สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลกสิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์หรือเป็นเทพอาณาจักร หรือเป็นเทพผู้ครอง หรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงดารงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นระเบียบอยู่โดยพระองค์ (โคโลสี 1:15-17)
[2 “พระเจ้า” ใน accusative case กรรมของบุพบท “กับ” อีกครั งหนึ่งที่ค้า “กับ” บวกกับความหมาย accusative “โดย” “ใกล้” หรือ “พร้อมกับ” บางคน ยอห์นเน้นย้าว่า การทรงปรากฏพร้อมกันของพระองค์พระวาทะอยู่ต่อเบื องพระพักตร์พระเจ้า และยังคงเป็นพระภาคที่โดดเด่นชัดเจน]
[3 ยอห์น 10:30 “เรากับพระบิดาของเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”]
ตามที่เปาโลกล่าวไว้ องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้สูงสุดเหนือสรรพสิ่งทั งปวง พระองค์ทรงเป็น “บุตรหัวปีเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง” ค้า πρωτότοκος/prototokos, หรือ บุตรหัวปี ในบริบทนี เกี่ยวเนื่องกับ “การด้ารงอยู่ก่อนสิ่งอื่นใดการด้ารงอยู่แรกสุด การด้ารงอยู่ก่อน”4 ในพระธรรมโคโลสี “เพราะว่าโดยพระองค์ สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น” (1:15) เป็นการเน้นย้าว่า สรรพสิ่งทั งปวงเป็นหนี การทรงเป็นผู้กลางของพระคริสต์ที่ทรงกระท้าให้สรรพสิ่งทั งปวงเกิดขึ น ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่า พระคริสต์ทรงเป็นสรรพสิ่งที่ทรงสร้างแรกสุด เพราะเรื่องนี ต้องการที่จะเน้นหนักไปที่ τοκος/tokos และจะน้าไปสู่ความขัดแย้งกับข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ “บุตรหัวปี” แห่งสรรพสิ่งในการทรงสร้างมากกว่าค้า πρωτότοκος/pro-totokos ซึ่งน้ามาใช้ส้าหรับ “ต้าแหน่งสูงสุด” ของการทรงสร้าง ซึ่งหมายถึง “การทรงด้ารงอยู่สูงสุดของพระคริสต์เหนือสรรพสิ่งทั งปวง”
ยิ่งกว่านั น ยอห์นยังยืนยันกับเราว่า พระวาทะทรงเป็นแหล่งก้าเนิดชีวิตส่วนตัว “ในพระองค์มีชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ทั้งปวง ความสว่างนั้นส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้เข้าใจความสว่างไม่” (ยอห์น 1:4-5)
ซึ่งได้ทรงเป็นอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก ซึ่งเราทั้งหลายได้ยิน ซึ่งเราได้เห็นกับตา ซึ่งเราได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรา เกี่ยวกับพระวาทะแห่งชีวิต และชีวิตนั้นได้ปรากฏ และเราได้เห็นและเป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นั้นแก่ท่านทั้งหลาย ชีวิตนั้นได้ดารงอยู่กับพระบิดา และได้ปรากฏแก่เราทั้งหลาย ซึ่งเราได้เห็นและได้ยินนั้น เราก็ได้ประกาศแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเรา แท้จริงเราทั้งหลายก็ร่วมสามัคคีธรรมกับพระบิดา และกับพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ (1ยอห์น 1:1-3)
[4 πρωτότοκος πάσης κτίσεως /proototokos pase ktisoos, “การทรงด้ารงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทังปวง” หรือ “การทรงด้ารงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั งปวงจะถูกสร้างขึ นมา” มีความเป็นไปได้ที่จะเข้าใจว่า πρωτότοκος/proototokos ในโคโลสี 1:15 เป็น “ผู้อยู่ในฐานะสูงกว่า” πρωτουτοκος มีส่วนเกี่ยวข้องกับการด้ารงอยู่สูงกว่าสิ่งอื่นทังปวงประเภทเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกันเป็น “ผู้อยู่เหนือกว่าสรรพสิ่งทังปวง”]
องค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงประกาศความจริงนี ด้วยพระองค์เอ “เพราะว่าพระบิดาทรงมีชีวิตในพระองค์เองฉันใด พระองค์ก็ได้ทรงประทานให้พระบุตรมีชีวิตในพระองค์ฉันนั้น” (ยอห์น 5:26) องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นชีวิต และทรงสามารถประทานชีวิตแก่ทุกคนที่พระองค์จะประทานได้ พระองค์ตรัสอีกครั งว่า “เพราะพระบิดาทรงทาให้คนที่ตายแล้วฟื้นขึ้นมาและมีชีวิตฉันใด ถ้าพระบุตรปรารถนาจะกระทาให้ผู้ใดมีชีวิตก็จะกระทาเหมือนกันฉันนั้น” (ยอห์น 5:21)
องค์พระเยซูเจ้าของเราทรงด้ารงอยู่ก่อนเวลา ความว่างเปล่า และสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั งปวง และทรงเป็นผู้ที่ด้ารงอยู่ด้วยพระองค์เอง ทรงเป็นพระวาทะผู้ทรงกระท้าให้สรรพสิ่งทั งปวงเกิดขึ นมา พระองค์ทรงเป็นพระบิดาแห่งนิรันดร์กาล ผู้ทรง “ได้รับการประกาศออกมาว่าทรงดารงอยู่จากนิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาล” ในพระองค์ทรงเป็นความสว่างแห่งชีวิต ในพระคริสต์ “คลังสติปัญญาและความรู้ทุกอย่างทรงปิดซ่อนไว้ในพระองค์” (โคโลสี 2:2-3)
ชีวิตคริสเตียนและพลังชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณขึ นอยู่กับความสัมพันธ์เป็นส่วนตัวกับพระองค์ ดังที่พระวจนะได้กล่าวไว้ “และพยานหลักฐานนั้นก็คือว่า พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานชีวิตนิรันดร์แก่เราทั้งหลาย และชีวิตนี้มีอยู่ในพระบุตรของพระองค์ ผู้ที่มีพระบุตรก็มีชีวิต ผู้ที่ไม่มีพระบุตรของพระเจ้าก็ไม่มีชีวิต” (1ยอห์น 5:11-12)
ผู้แปล
วิษฐิดา มีสุทธา